“พ่อ...” เด็กน้อยร้องขึ้นมาแววตาใสวิงวอน  “อะไรหรือลูก?” พ่อถามแล้วเอามือลูบศีรษะเบาๆ  “ผมยังไม่ง่วงเลย”  เด็กน้อยเฉลยพร้อมกับเอามือเลิกผ้าห่มผืนน้อยลงมาที่เอว 
                “นอนได้แล้วลูกเอ๋ยพ่อจะได้ดับตะเกียงเสีย  เราจะใช้น้ำมันสิ้นเปลืองไม่ได้นะ...”  พ่อทำคิ้วเขม่นใส่แต่พอเห็นแววตาใสๆก็ต้องใจอ่อน  “เอาอย่างงี้  พ่อจะเล่านิทานให้ฟัง  คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงแสงสว่างดีพ่อจะดับตะเกียงแล้วกันนะ”  เด็กน้อยพยักหน้ารับ  ผู้เป็นพ่อจึงหันไปเป่าตะเกียงให้ดับ
    “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”  พ่อเริ่มต้นเล่าเด็กน้อยตั้งใจฟังตาแป๊ว  “มีอาณาจักรอันเรืองรองผ่องอำไพอยู่อาณาจักรหนึ่ง  ณ อาณาจักรนั้นมีพระราชาผู้ทรงคุณธรรมและเป็นห่วงผสกนิกรยิ่งไพร่ฟ้าต่างมีความสุขข้าวปลาอาหารก็อุดมสมบูรณ์...”  เด็กน้อยทำตาชวนฝันเขากำลังนึกภาพอาณาจักรที่พ่อเล่าให้ฟัง  “แต่ทว่า...อาณาจักรที่ใหญ่โตของพระองค์ก็ยังมีความทุกข์ยากอยู่ในบางท้องที่...”
                “ทำไมล่ะ?  แล้วพระราชาผู้ทรงธรรมไปไหนเสียล่ะ?”  เด็กน้อยขัดขึ้น
                “ลูกเอ๋ย  พระราชอาณาจักรของพระองค์นั้นใหญ่มากพระองค์ไม่อาจจะดูแลได้ทั่วถึง  แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็พยายามจะเสด็จไปยังทุกที่ที่ทรงได้ยินถึงความทุกข์ยาก  ไม่ว่าจะเป็นยอดเขาที่สูงและเย็นยะเยือก  หรือจะเป็นถิ่นอันแห้งแล้งร้อนระอุจนมิอาจปลูกพืชได้  พระองค์ล้วนไปมาจนหมดแล้ว  พระองค์ทรงปรีชาสามารถมากเมื่อเทวดาบนท้องฟ้าไม่ยอมประทานฝนให้กับประชาชนของพระองค์  พระองค์ทรงบัญชาให้ทหารของพระองค์เหาะขึ้นไปบนสวรรค์หลังจากนั้นฝนก็เทลงมา...”
                “โอ้โห...ทหารของพระราชาเหาะได้ด้วยหรือพ่อ”  เด็กน้อยขัดขึ้นอีกดวงตาเป็นประกายเมื่อรู้ว่ามีคนที่สามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้
 
                “ได้สิ  คนสมัยก่อนรู้วิธีเหาะเหิรเดินอากาศกันได้ทั้งนั้นแหละ  บรรพบุรุษเราก็เคยเหาะไปบนท้องฟ้าเหมือนกันนะ”  พ่อทำท่าโอ้อวดดูจะภูมิใจกับเรื่องนี้มาก  “เอ...นี่ลูกอยากฟังต่อหรือเปล่านี่”  ผู้เป็นพ่อทำท่าลองใจดู
                “อยากครับๆ”  เด็กน้อยผยักหน้าหงึกหงัก  “เอาล่ะงั้นพ่อจะเล่าให้ฟังต่อ  มีครั้งหนึ่งขุนนางผู้ใหญ่ของพระองค์เกิดขัดแย้งฆ่าฟันกันล้มตายเป็นอันมาก  เหตุการณ์บานปลายไปมากจนมิอาจควบคุม...”
                “แล้วพระราชาทำยังไงพ่อ...”  เด็กน้อยขัดขึ้นอีกคราวนี้พ่อเอานิ้วชี้ประทับที่ริมฝีปากเด็กน้อยเบาๆ  “...พ่อกำลังจะเล่าให้ฟังอยู่นี่ไง  ขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะบานปลายไปถึงไหนนั้นเองพระองค์ก็ได้ไปปรากฏแก่ผู้นำทั้งสองฝ่าย  ด้วยบารมีอันเจิดจรัสทั้งสองฝ่ายต่างหยุดความรุนแรงและเมื่อพระองค์ตรัสความขัดแย้งนั้นก็สลายไปดั่งธุลี  ตำนานของพระองค์ยังมีอีกมากรวมทั้งเรื่องราวของพระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางของพระองค์  เอาล่ะวันนี้ลูกนอนได้แล้วนะ”  ผู้เป็นพ่อตัดบทแต่เด็กน้อยยังอยากฟังอีกแม้หนังตาจะเริ่มหนักแล้วก็ตาม 
                “พ่อ...ผมยังไม่รู้เลยว่าพระราชามีชื่อว่าอะไรพ่อยังไม่บอกเลย...”  เด็กน้อยต่อรองเผื่อว่าพ่อจะเล่าต่อ  ผู้เป็นพ่อพนมมือขึ้นแล้วยกขึ้นเหนือหัวอันเป็นท่าทางที่จำมาจากปู่เวลาที่ปู่เอ่ยนามพระราชาองค์นั้นปู่จะทำท่านี้เสมอซึ่งปู่เองก็จำมาจากปู่ของปู่ของปู่...อีกต่อหนึ่ง 
                “พระองค์มีพระนามว่า  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช  ผู้คนในยุคนั้นเรียกพระพระองค์ด้วยความรู้สึกใกล้ชิดว่าในหลวง  รู้ไหมบรรพบุรุษของเราก็เคยอยู่ในยุคเดียวกับพระองค์และยังเคยสร้างวีรกรรมไว้ด้วย...”  พ่อยึดอกด้วยความภาคภูมิก่อนจะเล่าต่อ  “เอาไว้คืนพรุ่งนี้พ่อจะเล่าให้ฟังแล้วกัน  เอาล่ะนอนได้แล้วนะ” พ่อลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างแผ่วเบาอีกครั้งและดึงผ้าห่มขึ้นมาให้ถึงหน้า  “ราตรีสวัสดิ์ลูก”
                พ่อปิดประตูลงอย่างเงียบกริบ  นัยน์ตาของเด็กน้อยหลับลงแล้วแต่ในใจยังคิดถึงเรื่องที่พ่อเล่า  พ่อหนูจินตนาการถึงพระเจ้าแผ่นดินที่มีพระวรกายสูงสง่า  พระมหากษัตริย์พระองค์นั้น  “ในหลวงของปวงชนชาวไทย”
^_^ ไม่รู้ว่าจะเป็นการบังควรหรือเปล่า  ใครเห็นว่าไม่บังควรก็ลบได้นะครับ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น